สาระการเรียนรู้
- บทนำ
- กล้องดิจิตอล
- หน่วยความจำของกล้องดิจิตอล
- หน่วยความจำสำหรับใช้กับกล้องดิจิตอล
- แฟลชไดร์ฟ
- ประโยชน์ของแฟลชไดร์ฟ
- ปริ้นเตอร์
- สแกนเนอร์
- การทำงานของสแกนเนอร์
- ภาพจากสแกนเนอร์
- แดง เขียว น้ำเงิน RGB
- ชนิดของสแกนเนอร์
- ปัจจัยในการตเลือกซื้อสแกนเนอร์
- สามารถบอกถึงหน่วยความจำชนิดต่างๆ ได้
- สามารถบอกถึงประโยชน์ของแฟลชไดร์ฟได้
- สามารถบอกถึงชนิดของปริ้นเตอร์ได้
- สามารถบอกถึงชนิดของสแกนเนอร์ได้
- อธิบายความหมายขิงการทำงานของกล้องดิจิตอลได้
- อธิบายถึงชนิดของกล้องดิจิตอลได้
- สามารถบอกถึงขั้นตอนการทำงานของปริ้นเตอร์และสแกนเนอร์ได้
กล้องถ่ายภาพระบบดิจิตอล (Digital Camera) |
กล้องถ่ายภาพระบบดิจิตอล นับเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน เนื่องจากมีขนาดเล็ก กะทัดรัด พกพาได้สะดวก โอนถ่ายเข้าสู่คอมพิวเตอร์ได้ทันที เผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ตได้รวดเร็ว โดยอุปกรณ์ตัวเล็กชิ้นนี้จะทำงานด้วยตัวสร้างประจุไฟฟ้าที่เรียกว่า CCD (Charge Coupled Device) ภายในตัวกล้อง ผ่านการกระตุ้นด้วยแสงที่ผ่านเข้ามาทางเลนส์ และส่งผลให้เกิดภาพบนสื่อบันทึกภายในกล้อง เช่น Memory Stick, Memory Cardประโยชน์ของกล้องถ่ายภาพแบบดิจิตอล
RS-MMC Card (Reduced Size MultiMediaCard)ข้อมูลทั่วไปของ RS-MMC CardRS-MMC Card นั้นเป็นการ์ดหน่วยความจำที่พัฒนาขึ้นมาด้วยพื้นฐานของ MMC Card และมีคุณสมบัติโดยรวมที่ไม่แตกต่างกัน เพียงแต่มีขนาดที่เล็กลงประมาณครึ่งหนึ่งของ MMC Card ในทางยาว นั่นคือมีความยาวลดลงเหลือ 16 มิลลิเมตร ในขณะที่ MMC Card มีความยาว 32 มิลลิเมตร แต่ก็ยังมีความกว้างขนาด 24 มิลลิเมตร และความหนาขนาด 1.4 มิลลิเมตร เท่าเดิม ซึ่ง RS-MMC Card นั้นนำมาใช้กับ โทรศัพท์มือถือ โนเกีย 7610 เป็นรุ่นแรก ราคาจำหน่ายในช่วงแรกนั้นค่อนข้างสูงกว่า MMC Card มาก แต่ในปัจจุบันราคาของการ์ดหน่วยความจำทั้งสองแบบนี้ใกล้เคียงกันแล้ว เนื่องจาก RS-MMC Card มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โทรศัพท์มือถือ หลายรุ่นหลายยี่ห้อต่างก็หันมาใช้ RS-MMC Card แทนที่จะเลือกใช้ MMC Card และในอนาคตคาดว่าจะเข้ามาแทนที่ MMC Card ในที่สุดในการใช้งานนั้น ปกติ RS-MMC Card สามารถนำไปใช้แทน MMC Card ได้ทันที เนื่องจากปกติเมื่อซื้อ RS-MMC Card มา ก็มักจะมีตัวแปลงให้มีขนาดเท่ากับ MMC Card (MMC Adapter) มาให้ด้วย ดังนั้นอุปกรณ์ใดที่รองรับ MMC Card ก็จะสามารถนำ RS-MMC Card มาใช้งานได้ด้วยโดยปริยาย ส่วน RS-MMC Card รุ่นใหม่ที่เรียกว่า MMCmobile นั้นสังเกตได้ไม่ยาก โดยให้สังเกตที่ขาขั้วต่อจะมีอยู่ 13-Pins ในขณะที่ RS-MMC Card จะมีเพียง 7-Pins ซึ่ง MMCmobile จะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นจากเดิมดังที่กล่าวไว้ในส่วนของ MMC Card ข้างต้นข้อมูลเชิงเทคนิคของ RS-MMC Card- ขนาด 24 x 16 x 1.4 มิลลิเมตร- น้ำหนัก 1.0 กรัม- ขั้วต่อ (Pins) แบบ 7-Pins (RS-MMC) หรือ 13-Pins (MMCmobile)- ระดับแรงดันไฟ 3.3โวลต์ (RS-MMC) หรือ 1.8/3.3โวลต์ (MMCmobile)- อุณหภฺมิที่สามารถทำงานได้ -25 ถึง 85 องศาเซลเซียส (-13 ถึง 185 องศาฟาเรนไฮต์)- อุณหภูมิที่สามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้ -40 ถึง 85 องศาเซลเซียส- ค่า Shock Resistance 1000 G (เท่ากับการปล่อยลงสู่พื้นจากระดับความสูง 5 ฟุต)- จำนวนรอบของการถอดเข้าถอดออก 10,000 รอบ- อัตราความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงสุด 1.75MB ต่อวินาที (RS-MMC) หรือ 8MB ต่อวินาที (MMCmobile)- อัตราความเร็วในการเขียนข้อมูลสูงสุด 1.65MB ต่อวินาที (RS-MMC) หรือ 7MB ต่อวินาที (MMCmobile)- Bandwidth ในการโอนถ่ายข้อมูล (Transfer Bandwidth : Bus Widths) 1 bit, 4 bits และ 8 bits (MMCmobile)- จำนวนรอบในการลบข้อมูล 100,000 รอบ ต่อ 1 Block- ในปัจจุบันมีขนาดความจุให้เลือกใช้ตั้งแต่ 32, 64, 128, 256, 512MB และ 1GB
DV RS-MMC Card (Dual Voltage Reduced Size MultiMediaCard)
ข้อมูลทั่วไปของ DV RS-MMC CardDV RS-MMC Card หรือ Dual Voltage Reduced Size MultiMediaCard นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาจากพื้นฐานของการ์ดหน่วยความจำแบบ RS-MMC Card และมีขนาดเท่ากันทุกประการ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อที่จะให้ตัวการ์ดสามารถใช้แรงดันไฟได้ 2 ระดับ คือ 1.8โวลต์ และ 3.3โวลต์ จึงทำให้สามารถประหยัดพลังงานได้มากขึ้นกว่าเดิม โดย โทรศัพท์มือถือ รุ่นแรกที่นำ DV RS-MMC Card มาใช้ก็คือ โนเกีย 6630 และต่อมาหลังจากนั้น โทรศัพท์มือถือ ตระกูล Symbian Smart Phone Series 60 UI ของ โนเกีย อีกหลายรุ่น ก็มีการพัฒนาให้รองรับ DV RS-MMC Card เช่น โนเกีย 6681, 6680, N70 หรือ N90 เป็นต้น รวมถึงรุ่นใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอีกหลายรุ่น ซึ่งถ้าหาก โทรศัพท์มือถือ รุ่นใดที่ระบุว่าต้องใช้การ์ดหน่วยความจำแบบ DV RS-MMC Card ก็จะไม่สามารถนำ RS-MMC Card แบบธรรมดามาใช้ได้ เนื่องจาก โทรศัพท์มือถือ เหล่านี้มีแรงดันไฟสำหรับการ์ดหน่วยความจำเพียง 1.8โวลต์ เท่านั้น ในขณะที่ RS-MMC Card ธรรมดาจะใช้แรงดันไฟมากถึง 3.3โวลต์ในช่วงแรกของการวางจำหน่ายนั้น DV RS-MMC Card ยังมีราคาที่สูงกว่า MMC Card หรือ RS-MMC Card อยู่อย่างมาก นั่นคือแพงกว่าเกือบเท่าตัวเลยทีเดียว แต่เมื่อเริ่มมีการใช้งานแพร่หลาย และมี โทรศัพท์มือถือ รุ่นใหม่ๆ ออกมารองรับมากขึ้น จนถึงปัจจุบัน DV RS-MMC Card นั้นก็ลดระดับราคาลงมาจนแทบจะไม่แตกต่างกับ RS-MMC Card แล้ว ส่วนการ์ดหน่วยความจำแบบ MMCmobile ซึ่งเป็น RS-MMC Card แบบใหม่นั้น ก็ถือได้ว่าเป็นการ์ดหน่วยความจำแบบ DV RS-MMC Card ด้วยเช่นกัน เนื่องจากสามารถใช้แรงดันไฟได้ 2 ระดับ คือ 1.8โวลต์ และ 3.3โวลต์ ได้เหมือนกันกับ DV RS-MMC Card นั่นเอง สุดท้ายแล้วจึงอาจจะสรุปได้ว่า MMCmobile เป็นการ์ดหน่วยความจำที่จะเข้ามาแทนที่ทั้ง RS-MMC Card และ DV RS-MMC Card ทั้งคู่ไปโดยปริยายข้อมูลเชิงเทคนิคของ DV RS-MMC Card- ขนาด 24 x 16 x 1.4 มิลลิเมตร- น้ำหนัก 1.0 กรัม- ขั้วต่อ (Pins) แบบ 7-Pins หรือ 13-Pins (MMCmobile)- รองรับการใช้งานกับแรงดันไฟ 2 ระดับ คือ1.8โวลต์ และ 3.3โวลต์- อุณหภฺมิที่สามารถทำงานได้ -25 ถึง 85 องศาเซลเซียส (-13 ถึง 185 องศาฟาเรนไฮต์)- อุณหภูมิที่สามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้ -40 ถึง 85 องศาเซลเซียส- ค่า Shock Resistance 1000 G (เท่ากับการปล่อยลงสู่พื้นจากระดับความสูง 5 ฟุต)- จำนวนรอบของการถอดเข้าถอดออก 10,000 รอบ- อัตราความเร็วในการอ่านข้อมูลสูงสุด 1.75MB ต่อวินาที หรือ 8MB ต่อวินาที (MMCmobile)- อัตราความเร็วในการเขียนข้อมูลสูงสุด 1.65MB ต่อวินาที หรือ 7MB ต่อวินาที (MMCmobile)- Bandwidth ในการโอนถ่ายข้อมูล (Transfer Bandwidth : Bus Widths) 1 bit, 4 bits และ 8 bits (MMCmobile)- จำนวนรอบในการลบข้อมูล 100,000 รอบ ต่อ 1 Block- ในปัจจุบันมีขนาดความจุให้เลือกใช้ตั้งแต่ 128, 256 และ 512MB
MMCmicro Card (Micro MultiMediaCard)ข้อ
มูลทั่วไปของ MMCmicro CardMMCmicro Card เป็นพัฒนาการอีกขั้นของ MMC Card และ RS-MMC Card ซึ่งพัฒนาให้มีขนาดที่เล็กลง และใช้พลังงานน้อยลง โดย MMCmicro นั้นมีขนาดที่เล็กพอๆ กับปลายนิ้วมือเลยทีเดียว นั่นคือ มีความยาว 14 มิลลิเมตร, กว้าง 12 มิลลิเมตร และหนาเพียง 1.1 มิลลิเมตรเท่านั้น หรือมีขนาดเพียง 1 ใน 4 ของ MMC Card หรือมีขนาดเพียง 1 ใน 3 ของ RS-MMC Card เท่านั้น และ MMCmicro Card นี้ก็ยังมีคุณสมบัติการทำงานแบบ Dual Voltage ได้อีกด้วย นั่นคือสามารถทำงานได้ที่แรงดันไฟ 2 ระดับ ที่ 1.8โวลต์ และ 3.3โวลต์ ในการพัฒนาและทดสอบการใช้งานโดย บริษัท Samsung ซึ่งเป็นผู้คิดค้น MMCmicro ก็ได้ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ มีความน่าเชื่อถือสูงในเรื่องประสิทธิภาพการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมาตรฐานที่ Samsung นำมาใช้ในการพัฒนา MMCmicro นี้นั้น ก็คือมาตรฐาน MMCA หรือ MultiMediaCard Associationความเร็วสูงสุดในการอ่านข้อมูลของ MMCmicro นั้นอยู่ที่ 10Mbyte ต่อวินาที และความเร็วสูงสุดในการเขียนข้อมูลอยู่ที่ 7Mbyte ต่อวินาที นอกจากนั้นในเรื่องของความทนทานในการใช้งานก็อยู่ในระดับที่สูงด้วยเช่นกัน โดยมีการทดสอบลบข้อมูลและเขียนซ้ำอย่างน้อย 100,000 รอบ และยังมีคุณสมบัติของการกันน้ำ กันฝุ่น กันไฟกระชาก ทำงานได้ในสภาวะของอุณหภูมิที่ต่างกัน หรือในสภาวะใดๆ ที่อุปกรณ์พกพานั้นๆ ต้องเผชิญนั่นเอง MMCmicro นั้นถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อเอาไว้ใช้งานกับ โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์พกพาขนาดเล็กชนิดอื่นๆ ที่นับวันยิ่งต้องการขนาดที่กะทัดรัดมากขึ้น และสำหรับในปัจจุบันนั้นเริ่มมีการพัฒนา MMCmicro ออกมาจำหน่ายแล้วแต่ยังไม่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายมากนัก โดยมีขนาดความจุตั้งแต่ 32, 64, 128, 256 และ 512MBการนำ MMCmicro ไปใช้งานนั้น ก็สามารถนำไปใช้ได้กับอุปกรณ์ใดๆ ที่มีสล็อตสำหรับ SD, MMC หรือ RS-MMC Card ได้อย่างไม่มีปัญหา โดยอาศัยตัว Adapter ในการแปลงขนาด ดังนั้น โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นเพลง, กล้องดิจิตอล, เครื่องพีดีเอ หรืออุปกรณ์อื่นๆ ที่รองรับ SD, MMC หรือ RS-MMC Card ก็สามารถนำ MMCmicro ไปใส่ใช้งานได้ทันทีข้อมูลเชิงเทคนิคของ MMCmicro Card- ขนาด 14 x 12 x 1.1 มิลลิเมตร- น้ำหนัก 0.8 กรัม- จำนวนขาขั้วต่อ (Pins) 10Pins- ใช้งานกับแรงดันไฟได้ 2 ระดับ คือ 1.7-1.95โวลต์ และ 2.7-3.6โวลต์- มีอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานที่น้อยกว่า 50mA- ความเร็วสูงสุดของสัญญาณนาฬิกา 26MHz- ความเร็วสูงสุดของการโอนถ่ายข้อมูล 12Mbyte ต่อวินาที- ความเร็วสูงสุดในการอ่านข้อมูล 10Mbyte ต่อวินาที- ความเร็วสูงสุดในการเขียนข้อมูล 7Mbyte ต่อวินาที- ขนาดความจุในปัจจุบัน มีตั้งแต่ขนาด 32, 64, 128, 256 และ 512MB- มีคุณสมบัติการป้องกันน้ำ- มีคุณสมบัติการป้องกันฝุ่นละออง- มีคุณสมบัติการป้องกันกระแสไฟกระชาก (Electrostatic Discharge)- สามารถใช้งานได้ในสภาวะของอุณหภูมิผันผวน- ระดับอุณหภูมิที่สามารถทำงานได้ -25 ถึง 85 องศาเซลเซียส- ระดับอุณหภูมิที่สามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้ -40 ถึง 85 องศาเซลเซียส- รองรับการทำงานในความชื้น 8 ถึง 95%- ค่า Shock Resistance 1000 G (เท่ากับการปล่อยลงสู่พื้นจากระดับความสูง 5 ฟุต)- ค่า Vibration Resistance 15 G- ค่า MTBF (Mean Time Between Failures : ค่าเวลาโดยประมาณในกรณีที่ไม่เกิดข้อผิดพลาดในการทำงาน) 1,000,000 ชั่วโมง- สามารถถอดการ์ดเข้าและถอดออกได้ไม่น้อยกว่า 20,000 รอบ- สามารถ อ่าน, เขียน และลบข้อมูล ได้มากกว่า 100,000 รอบ- เก็บรักษาข้อมูลไว้ได้นาน 10 ปี
Memory Stickข้อมูลทั่วไปของ Memory StickMemory Stickเป็นการ์ดหน่วยความจำที่ถูกพัฒนาขึ้นมาครั้งแรกใน เดือนตุลาคม ปี ค.ศ.1998 โดย บริษัท Sony ซึ่งเน้นสำหรับการนำไปใช้งานกับอุปกรณ์ยี่ห้อ Sony โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาการ์ดหน่วยความจำ เช่น กล้องดิจิตอล, โทรศัพท์มือถือ (Sony Ericsson), เครื่องเล่นเพลง หรืออื่นๆ และ Memory Stick เป็นการ์ดหน่วยความจำที่ยังมีราคาสูงกว่าการ์ดหน่วยความจำชนิดอื่น แต่ก็มีจุดเด่นคือมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่สูง และในเวลาไม่นานนัก ก็มีการพัฒนา Memory Stick แบบใหม่ขึ้นมาให้ใช้งานอีก เช่น Memory Stick Pro ซึ่งสามารถรองรับขนาดความจุข้อมูลที่เพิ่มขึ้นและมีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่สูงขึ้น หรือ Memory Stick Duo ที่พัฒนาให้มีขนาดเล็กลง เป็นต้นMemory Stick นั้นถูกนำไปใช้กับอุปกรณ์สมัยใหม่มากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น กล้องดิจิตอล, เครื่องเล่นเพลง, เครื่องพีดีโอ, โทรศัพท์มือถือ, เครื่องเล่นเกมส์ PlayStation รวมถึงเครื่องโน็ตบุ๊คราคาแพงจากค่าย Sony ที่ใช้ชื่อว่า VAIO ที่มีสล็อตสำหรับใส่ Memory Stick อยู่ในตัว สำหรับขนาดความจุของ Memory Stick แบบธรรมดานั้นมีการผลิตออกมาสูงสุดเพียง 256MB (128MB x 2) เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามหากเป็น Memory Stick แบบใหม่ๆ เช่น Memory Stick Pro ก็จะมีขนาดความจุที่มากขึ้น ส่วนบริษัทที่ได้สิทธิ์ในการผลิต Memory Stick อย่างเป็นทางการนั้น ก็ได้แก่ บริษัท SanDisk และ Lexarเทคโนโลยีหนึ่งที่นำมาใช้กับ Memory Stick นั่นก็คือเทคโนโลยี MagicGate ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันการก๊อปปี้ข้อมูล ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย บริษัท Sony ในปี ค.ศ.1999 มีหลักการทำงานคือทำการเข้ารหัสข้อมูล (Encrypting) ของอุปกรณ์ และใช้ชิป MagicGate ทั้งในส่วนของตัวเก็บข้อมูล และตัวอ่านข้อมูล เพื่อตัดสินใจควบคุมบังคับกระบวนการคัดลอกไฟล์หรือก๊อปปี้ไฟล์ว่าควรจะดำเนินการอย่างไร เทคโนโลยี MagicGate นั้นถูกนำมาใช้กับเครื่องเล่นเกมส์ PlayStation 2 ในปี ค.ศ.2004 และอุปกรณ์รุ่นใหม่ก็พัฒนาให้สามารถรองรับเทคโนโลยีนี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆข้อมูลเชิงเทคนิคของ Memory Stick- ขนาด 50 x 21.5 x 2.8 มิลลิเมตร (1.97 x 0.85 x 0.11 นิ้ว)- น้ำหนัก 4 กรัม- ปริมาตร 3,010 ลูกบาศก์มิลลิเมตร- จำนวนขาขั้วต่อ (Pins) 10Pins- เทคโนโลยีการผลิตแบบ NAND Flash- ระดับแรงดันไฟที่ใช้ 2.7-3.6โวลต์- ระดับความสิ้นเปลืองของพลังงานขณะใช้งาน 45mA- ระดับความสิ้นเปลืองของพลังงานขณะอยู่ในสถานะ Standby 130ไมโครแอมแปร์- ความเร็วสูงสุดของสัญญาณนาฬิกา 20MHz- ความเร็วสูงสุดในการเขียนข้อมูล 1.8Mbyte ต่อวินาที (14.4Mbit ต่อวินาที)- ความเร็วสูงสุดในการอ่านข้อมูล 2.5Mbyte ต่อวินาที (19.6Mbit ต่อวินาที)- ระดับอุณหภูมิที่สามารถทำงานได้ -5 ถึง 65 องศาเซลเซียส- ระดับอุณหภูมิที่สามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้ -40 ถึง 100 องศาเซลเซียส- ค่า Shock Resistance 150 G (ที่ 10ms)- ค่า Vibration Resistance 15 G- รองรับการทำงานในความชื้น 95%- ขนาดความจุ มีตั้งแต่ 16, 32, 64, 128 และ 256MB- เทคโนโลยี MagicGate ช่วยป้องกันการคัดลอกข้อมูล- สวิตช์สำหรับการป้องกันการเขียนทับข้อมูลMemory Stick PROข้อมูลทั่วไปของ Memory Stick PROMemory Stick PRO นั้นเป็นพัฒนาการที่สืบเนื่องต่อมาจาก Memory Stick โดยมีการพัฒนา 2 เรื่องหลักคือ การเพิ่มขีดความสามารถในการขยายขนาดความจุให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม และพัฒนาให้มีความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลที่รวดเร็วขึ้นกว่าเดิม ซึ่ง Memory Stick PRO ตามทฤษฎี สามารถขยายขนาดความจุสูงสุดได้มากถึง 32GB แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันความจุสูงสุดที่มีอยู่ ยังอยู่ที่ 4GB เท่านั้น ส่วนเรื่องของขนาดของการ์ดนั้น ยังคงมีขนาดที่เท่ากันกับ Memory Stick ปกติทุกประการสำหรับ Memory Stick PRO ที่มีขนาดความจุตั้งแต่ 1GB ขึ้นไป จะมีโหมดการทำงานที่เรียกว่า High Speed Mode ซึ่งจะช่วยให้ความเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลเร็วยิ่งขึ้นไปอีก แต่อุปกรณ์รุ่นเก่าๆ บางอย่าง ก็ไม่สามารถใช้งาน High Speed Mode นี้ได้ นอกจากนั้นก็ยังมีเทคโนโลยี MagicGate ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยป้องกันการคัดลอกข้อมูลใส่มาให้ด้วย และหากเปรียบเทียบกันที่ขนาดความจุเดียวกัน Memory Stick PRO นั้นก็ยังคงมีราคาที่แพงกว่าการ์ดหน่วยความจำประเภทอื่นๆ อยู่มากพอสมควร ส่วนการนำ Memory Stick PRO ไปใช้งานนั้น ผู้ใช้ควรจะต้องตรวจสอบก่อนว่า อุปกรณ์ที่จะนำไปใช้ด้วยนั้น สามารถรองรับการใช้งานกับ Memory Stick PRO ได้หรือไม่ข้อมูลเชิงเทคนิคของ Memory Stick PRO- ขนาด 50 x 21.5 x 2.8 มิลลิเมตร (1.97 x 0.85 x 0.11 นิ้ว)- น้ำหนัก 4 กรัม- ปริมาตร 3,010 ลูกบาศก์มิลลิเมตร- จำนวนขาขั้วต่อ (Pins) 10Pins- เทคโนโลยีการผลิตแบบ NAND Flash- ระดับแรงดันไฟที่ใช้ 2.7-3.6โวลต์- ระดับความสิ้นเปลืองของพลังงานขณะใช้งาน 45mA- ระดับความสิ้นเปลืองของพลังงานขณะอยู่ในสถานะ Standby 130ไมโครแอมแปร์- ความเร็วสูงสุดในการถ่ายโอนข้อมูล 20MByte ต่อวินาที (160Mbit ต่อวินาที)- ความเร็วสูงสุดในการเขียนข้อมูล 1.8Mbyte ต่อวินาที (14.4Mbit ต่อวินาที)- ความเร็วสูงสุดในการอ่านข้อมูล 2.45Mbyte ต่อวินาที (19.6Mbit ต่อวินาที)- ระดับอุณหภูมิที่สามารถทำงานได้ -5 ถึง 65 องศาเซลเซียส- ระดับอุณหภูมิที่สามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้ -40 ถึง 100 องศาเซลเซียส- ค่า Shock Resistance 150 G (ที่ 10ms)- ค่า Vibration Resistance 15 G- รองรับการทำงานในความชื้น 95%- ขนาดความจุ มีตั้งแต่ 128, 256, 512MB และ 1, 2, 4GB- มีระบบการรักษาความปลอดภัยแบบ SDMI (Security Digital Music Initiative)- เทคโนโลยี MagicGate ช่วยป้องกันการคัดลอกข้อมูล- สวิตช์สำหรับการป้องกันการเขียนทับข้อมูลMemory Stick Duoข้อมูลทั่วไปของ Memory Stick DuoMemory Stick Duo เป็นการ์ดหน่วยความจำที่มีขนาดเล็กลงกว่า Memory Stick ปกติ และมีขนาดที่เล็กกว่า SD Card เล็กน้อย จุดประสงค์ที่ทาง บริษัท Sony พัฒนา Memory Stick Duo นี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการการ์ดหน่วยความจำที่มีขนาดเล็กลงกว่า Memory Stick ปกติ เพื่อนำไปใช้กับอุปกรณ์พกพาต่างๆ ที่นับวันจะยิ่งมีขนาดเล็กมากขึ้น และ Memory Stick ปกติ ดูจะมีขนาดที่ใหญ่เกินไปสำหรับอุปกรณ์เหล่านั้น เช่น กล้องดิจิตอลขนาดพกพา หรือ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น และยังรวมถึงเครื่องเล่นเกมส์พกพาของ Sony อย่างเครื่อง PSP (PlayStation Portable) อีกด้วยที่จำเป็นต้องใช้การ์ดหน่วยความจำชนิดนี้สำหรับคุณสมบัติหรือประสิทธิภาพโดยทั่วไปนั้น ก็จะเหมือนกันกับ Memory Stick รุ่นปกติ แทบทุกประการ ยกเว้นเรื่องของรูปร่างที่เล็กกว่านั่นเอง และถ้าหากจะนำ Memory Stick Duo ไปใส่ใช้งานในสล็อตของ Memory Stick ขนาดปกติ ก็สามารถทำได้ โดยใช้ Memory Stick Duo Adapter เพื่อแปลง Memory Stick Duo ให้มีขนาดเท่ากันกับ Memory Stick ปกติ และสำหรับเทคโนโลยี MagicGate ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสำหรับป้องกันการคัดลอกข้อมูลนั้น ก็มีใส่มาให้เช่นเดียวกันข้อมูลเชิงเทคนิคของ Memory Stick Duo- ขนาด 31 x 20 x 1.6 มิลลิเมตร (1.22 x 0.79 x 0.6 นิ้ว)- น้ำหนัก 2 กรัม (ไม่ใส่ Adapter)- น้ำหนัก 4 กรัม (ใส่ Adapter)- ปริมาตร 992 ลูกบาศก์มิลลิเมตร- จำนวนขาขั้วต่อ (Pins) 10Pins- เทคโนโลยีการผลิตแบบ NAND Flash- ระดับแรงดันไฟที่ใช้ 2.7-3.6โวลต์- ระดับความสิ้นเปลืองของพลังงานขณะใช้งาน 45mA- ระดับความสิ้นเปลืองของพลังงานขณะอยู่ในสถานะ Standby 130ไมโครแอมแปร์- ความเร็วสูงสุดของสัญญาณนาฬิกา 20MHz- ความเร็วสูงสุดในการเขียนข้อมูล 1.8Mbyte ต่อวินาที (14.4Mbit ต่อวินาที)- ความเร็วสูงสุดในการอ่านข้อมูล 2.5Mbyte ต่อวินาที (19.6Mbit ต่อวินาที)- ระดับอุณหภูมิที่สามารถทำงานได้ -5 ถึง 65 องศาเซลเซียส- ระดับอุณหภูมิที่สามารถเก็บบันทึกข้อมูลได้ -40 ถึง 100 องศาเซลเซียส- ค่า Shock Resistance 150 G (ที่ 10ms)- ค่า Vibration Resistance 15 G- รองรับการทำงานในความชื้น 95%- ขนาดความจุ มีตั้งแต่ 32, 64 และ 128MB- เทคโนโลยี MagicGate ช่วยป้องกันการคัดลอกข้อมูล- สวิตช์สำหรับการป้องกันการเขียนทับข้อมูล
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือไฟล์จากคอมพิวเตอร์ มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา สะดวกในการพกพาติดตัว แต่ในขณะเดียวกันมีความจุสูง สามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากตั้งแต่ 2 GB ถึง 16 GB และขนาดความจุข้อมูลก็ได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แฟลชไดร์ฟ, แฮนดี้ไดร์ฟ เป็นอุปกรณ์นวัตกรรม IT ที่ในอนาคตทุกคนจะต้องมีและใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ตลอดเวลา เพราะมีคุณสมบัติที่โดดเด่นตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน และมีประโยชน์ที่สำคัญที่สุดคือ: • ความจุข้อมูลสูง ตั้งแต่ 2 GB ถึง 16 GB • ใช้เก็บข้อมูลได้ทุกประเภท ทั้งไฟล์ข้อมูล, เอกสาร, พรีเซ็นเตชั่นสไลด์, เพลง MP3, รูปภาพดิจิตอล, วีดีโอ, และอื่นๆ • สามารถใช้ได้ทันทีกับคอมพิวเตอร์และโน็ตบุ๊ค ทุกเครื่องทุกระบบ • สามารถใช้ได้กับ Windows, Linux, Apple iMac, Apple iBook • สะดวกในการใช้งาน เพียงแค่เสียบ Flash Drive เข้าช่องต่อ USB • ใช้งานง่าย คุณสามารถทำการเขียน/อ่าน/ลบ/แก้ไข ข้อมูลในนั้นได้โดยตรงเหมือนกับฮาร์ดดิสไดร์ฟปกติ • มีความทนทานสูง ทั้งภายในและภายนอก • เป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่สร้างจากเทคโนโลยีที่มีความทนทานสูงที่สุดในปัจจุบัน Solid-State Storage Technology • เวลาใช้งาน ข้อมูลของคุณจะปลอดภัยไม่ว่าจะเกิดการตกหล่น กระแทก หรือขูดขีด • มีขนาดเล็ก บาง เบา สามารถพกติดตัวได้สะดวก • ใช้เล่นเพลง MP3 ได้ (เฉพาะรุ่นที่มี MP3 Player) |
เครื่องพิมพ์ (Printer)
เครื่องพิมพ์ (Printer) เป็นอุปกรณ์ที่นิยมใช้กันมาก และมีให้เลือกหลากหลายชนิดขึ้นกับคุณภาพและความละเอียดของการพิมพ์ ความเร็วในการพิมพ์ ขนาดกระดาษสูงสุดที่สามารถพิมพ์ได้ และเทคโนโลยีที่ใช้ในการพิมพ์ เครื่องพิมพ์สามารถแบ่งตามวิธีการพิมพ์ได้เป็นสองชนิด คือ 1. เครื่องพิมพ์ชนิดตอก (Impact printer) ใช้การตอกให้คาร์บอนบนผ้าหมึกติดบนกระดาษตามรูปแบบที่ต้องการ สามารถพิมพ์สำเนา (Copy) ครั้งละหลายชุดโดยใช้กระดาษคาร์บอนวางระหว่างกระดาษแต่ละแผ่น ความเร็วในการพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ประเภทนี้จะมีหน่วยเป็นบรรทัดต่อวินาที (lpm-line per minute) ข้อเสียของเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ก็คือ มีเสียงดังและคุณภาพงานพิมพ์ที่ได้จะไม่ดีนัก สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดย่อย คือ |
สแกนเนอร์ (Scanner)
สแกนเนอร์ คืออุปกรณ์ซึ่งจับภาพและเปลี่ยนแปลงภาพจากรูปแบบของแอนาลอกเป็นดิจิตอลซึ่งคอมพิวเตอร์ สามารถแสดง, เรียบเรียง, เก็บรักษาและผลิตออกมาได้ ภาพนั้นอาจจะเป็นรูปถ่าย, ข้อความ, ภาพวาด หรือแม้แต่วัตถุสามมิติ สามารถใช้สแกนเนอร์ทำงานต่างๆได้ดังนี้ - ในงานเกี่ยวกับงานศิลปะหรือภาพถ่ายในเอกสาร - บันทึกข้อมูลลงในเวิร์ดโปรเซสเซอร์ - แฟ็กเอกสาร ภายใต้ดาต้าเบส และ เวิร์ดโปรเซสเซอร์ - เพิ่มเติมภาพและจินตนาการต่าง ๆ ลงไปในผลิตภัณฑ์สื่อโฆษณาต่าง ๆ โดยพื้นฐานการทำงานของสแกนเนอร์, ชนิดของสแกนเนอร์ และความสามารถในการทำงานของสแกนเนอร์แบ่งออกได้ดังต่อไปนี้ ชนิดของเครื่องสแกนเนอร์ ์ สแกนเนอร์สามารถจัดแบ่งตามลักษณะทั่วๆ ไป ได้ 2 ชนิด คือ Flatbed scanners, ซึ่งใช้สแกนภาพถ่ายหรือภาพพิมพ์ต่าง ๆ สแกนเนอร์ ชนิดนี้มีพื้นผิวแก้วบนโลหะที่เป็นตัวสแกน เช่น ScanMaker III Transparency and slide scanners, ซึ่งถูกใช้สแกนโลหะโปร่ง เช่น ฟิล์มและ สไลด์ การทำงานของสแกนเนอร์ การจับภาพของสแกนเนอร์ ทำโดยฉายแสงบนเอกสารที่จะสแกน แสงจะผ่านกลับไปมาและภาพ จะถูกจับโดยเซลล์ที่ไวต่อแสง เรียกว่า charge-couple device หรือ CCD ซึ่งโดยปกตินแปลงแฟ้มภาพเป็น เอกสารดังกล่าวออกมาเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถแก้ไขได้ ที่มืดบนกระดาษจะสะท้อนแสงได้น้อยและพื้นที่ที่สว่างบนกระดาษจะสะท้อนแสงได้มากกว่า CCD จะสืบหาปริมาณแสงที่สะท้อนกลับ จากแต่ละพื้นที่ของภาพนั้น และเปลี่ยนคลื่นของแสงที่สะท้อน กลับมาเป็นข้อมูลดิจิตอล หลังจากนั้นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการสแกนภาพก็จะแปลงเอาสัญญาณเหล่านั้นกลับมาเป็นภาพ บนคอมพิวเตอร์อีกทีหนึ่ง สิ่งที่จำเป็นสำหรับการสแกนภาพมีดังนี้ - สแกนเนอร์ - สาย SCSI สำหรับต่อจากสแกนเนอร์ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ - ซอฟต์แวร์สำหรับการสแกนภาพ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของสแกนเนอร์ให้ สแกนภาพตามที่กำหนด - สแกนเอกสารเก็บไว้เป็นไฟล์ที่นำกลับมาแก้ไขได้อาจต้องมีซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนด้าน OCR - จอภาพที่เหมาะสมสำหรับการแสดงภาพที่สแกนมาจากสแกนเนอร์ - เครื่องมือสำหรับแสดงพิมพ์ภาพที่สแกน เช่น เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์หรือสไลด์โปรเจคเตอร์ ประเภทของภาพที่เกิดจากการสแกน แบ่งเป็นประเภทดังนี้ 1. ภาพ Single Bit ภาพ Single Bit เป็นภาพที่มีความหยาบมากที่สุดใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูล น้อยที่สุดและ นำมาใช้ประโยชน์อะไรไ่ม่ค่อยได้ แต่ข้อดีของภาพประเภทนี้คือ ใช้ทรัพยากรของเครื่องน้อยที่สุดใช้พื้นที่ ในการเก็บข้อมูลน้อยที่สุด ใช้ระยะเวลาในการสแกนภาพน้อยที่สุด Single-bit แบ่งออกได้สองประเภทคือ - Line Art ได้แก่ภาพที่มีส่วนประกอบเป็นภาพขาวดำ ตัวอย่างของภาพพวกนี้ ได้แก่ ภาพที่ได้จากการสเก็ต - Halftone ภาพพวกนี้จะให้สีที่เป็นโทนสีเทามากกว่า แต่โดยทั่วไปยังถูกจัดว่าเป็นภาพประเภท Single-bit เนื่องจากเป็นภาพหยาบๆ 2. ภาพ Gray Scale ภาพพวกนี้จะมีส่วนประกอบมากกว่าภาพขาวดำ โดยจะประกอบด้วยเฉดสีเทาเป็นลำดับขั้น ทำให้เห็นรายละเอียดด้านแสง-เงา ความชัดลึกมากขึ้นกว่าเดิมภาพพวกนี้แต่ละพิกเซลหรือแต่ละจุดของภาพอาจประกอบด้วยจำนวนบิตมากกว่า ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น 3. ภาพสี หนึ่งพิกเซลของภาพสีนั้นประกอบด้วยจำนวนบิตมหาศาล และใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก ควาามสามารถในการสแกนภาพออกมาได้ละเอียดขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าใช้สแกนเนอร์ขนาดความละเอียดเท่าไร 4. ตัวหนังสือ ตัวหนังสือในที่นี้ ได้แก่ เอกสารต่างๆ เช่น ต้องการเก็บเอกสารโดยไม่ต้อง พิมพ์ลงในแฟ้มเอกสารของเวิร์ดโปรเซสเซอร์ ก็สามารถใช้สแกนเนอร์สแกนเอกสาร ดังกล่าว และเก็บไว้เป็นแฟ้มเอกสารได้ นอก จากนี้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถใช้ โปรแกรมที่สนับสนุน OCR (Optical Characters Recognize) มา |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น